แนะนำ ฟรี 5 โปรแกรมล้างไฟล์ REGISTRY ช่วยให้ WINDOWS ทำงานได้ดีขึ้น

ไฟล์ใน Windows Registry เป็นไฟล์ที่มีความซับซ้อน ยากต่อการจัดการด้วยตัวเอง ซึ่งในนั้นมีไฟล์ที่สำคัญหลายตัวที่ระบบวินโดวส์ใช้ในการทำงาน ซึ่งหากมีไฟล์เสียหาย บางทีอาจจะทำให้ระบบปฏิบัติการรวนจนถึงขั้นใช้งานไม่ได้เลยทีเดียว

ทั้งนี้ เวลาที่เราติดตั้งโปรแกรมต่างๆ ลงไปในเครื่อง ส่วนใหญ่ก็จะมีการติดตั้งไฟล์เข้าไปใน Registry ด้วย ปัญหา คือ เมื่อเราเลิกใช้โปรแกรม และลบออกจากเครื่องไปแล้ว ส่วนใหญ่ไฟล์ Registry มักไม่ถูกลบตามไปด้วย แต่จะกองสะสมเป็นไฟล์ขยะอยู่ในเครื่อง ซึ่งบางทีมันอาจจะมีปัญหากับไฟล์ Registry ของโปรแกรมใหม่ที่เพิ่มเข้าไปภายหลังได้ เราจึงควรลบ Registry ที่ไม่ใช้งานแล้วออกจากเครื่องไปบ้าง

แต่ด้วยความที่ระบบไฟล์ Registry มันค่อนข้างซับซ้อน จึงมีผู้พัฒนาโปรแกรมสำหรับล้างไฟล์ Registry ออกมาให้ใช้งานกัน ซึ่งเราได้เลือกมาแนะนำ 5 โปรแกรม โดยทั้งหมดเราสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรี

Comodo PC TuneUp
คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดโปรแกรม Comodo PC TuneUP
Comodo PC TuneUp เป็นโปรแกรมจัดการ Registry แบบ All-in- one ไม่ได้ทำได้แค่ล้างไฟล์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถซ่อมไฟล์ Registry ได้ด้วย

โปรแกรมจะตรวจจับหาปัญหาใหญ่ๆ ภายใน Registry และทำการแก้ไขไฟล์เสียให้อัตโนมัติ ตัวโปรแกรมพัฒนาโดย Comodo บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์

JetClean
คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดโปรแกรม JetClean
JetClean เป็นโปรแกรมขนาดเล็ก ที่มีน้ำหนักค่อนข้างเบา มีเครื่องมือให้ใช้งานอย่างครบครัน

JetClean มีเครื่องมือในการทำความสะอาดอยู่ 4 ตัว ให้เลือกใช้ Windows clean สำหรับล้างไฟล์ขยะในระบบ, Apps clean สำหรับล้างไฟล์ขยะที่เกิดจากการติดตั้งโปรแกรม, Shortcuts clean สำหรับลบชอทคัทของไฟล์และในเมนู Start ที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว และ RAM clean สำหรับล้างหน่วยความจำ

นอกเหนือจากนี้ยังมีลูกเล่นในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ Windows อย่าง Startup optimization, Internet booster, Performance booster ตัวโปรแกรมสามารถสร้างเป็นเวอร์ชั่น Portable สำหรับเก็บไว้ใน USB drive ได้ด้วย

Wise Registry Cleaner
คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดโปรแกรม Wise Registry Cleaner

Wise Registry Cleaner เป็นโปรแกรมแบบทูอินวันที่มาทั้งความสามารถในการล้างไฟล์ Registry และจูนระบบวินโดวส์ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

หน้าตาของโปรแกรมนี้มีความเรียบง่าย สะดวกต่อการใช้งาน มีความสามารถที่โดดเด่น คือ Registry defragmenter ที่ช่วยจัดเรียงไฟล์ใน Windows Registry ให้เป็นระเบียบ

โปรแกรมนี้สามารถอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่น Pro ได้ด้วยในราคา $20 (ประมาณ 670 บาท) และมีค่าต่ออายุปีละ $15 (ประมาณ 500 บาท) ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการล้างไฟล์แบบ Multi-user, ตั้งเวลาในการทำงานของโปรแกรมได้ล่วงหน้า และมีตัวเลือกเพิ่มเติมในการตั้งค่าบูทของระบบคอมพิวเตอร์

Auslogics Registry Cleaner
คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดโปรแกรม Auslogics Registry Cleaner

Auslogics Registry Cleaner เป็นเพียงโปรแกรมเดียวในทิปส์นี้ ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับ Registry เพียงอย่างเดียว จึงไม่น่าแปลกใจที่ประสิทธิภาพในการทำงานของมันจะค่อนข้างดี แถมยังใช้งานง่ายอีกด้วย

ทั้งนี้โปรแกรมนี้ ตอนติดตั้งต้องระวังนิดนึง มันจะมีคำขอร้องให้ตั้ง Yahoo เป็นหน้าแรกในเว็บเบราว์เซอร์ให้เราปฏิเสธไป และมีขอติดตั้ง Auslogics Driver Updater ให้เราติ๊กออกครับ

ด้านการทำงาน Auslogics Registry Cleaner จะมีการสำรองข้อมูลไฟล์ทุกครั้งก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลง ทำให้เราสามารถกู้คืนไฟล์กลับมาใหม่ได้ในกรณีที่เครื่องมีปัญหาหลังจากการล้างไฟล์ Registry

CCleaner

คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดโปรแกรม CCleaner

โปรแกรมยอดนิยมขวัญใจคนไทย ใช้ง่าย ลูกเล่นเพียบ อย่างไรก็ตามเรารู้สึกว่าบางครั้งการทำงานของมันออกจะรุนแรงไปหน่อย บางไฟล์ที่ถูกลบไปแล้ว จะไม่สามารถกู้กลับมาได้อีีก แต่ถ้าใช้อย่างระวังๆ ก็ถือว่าเป็นโปรแกรมที่มีความครบเครื่องมากเลยล่ะ

เวอร์ชั่นฟรี ก็เพียงพอต่อการใช้งานพื้นฐานทั่วไป แต่ถ้าต้องการใช้งานเวอร์ชั่น Pro ก็จ่ายเพิ่มอีก $25 (ประมาณ 835 บาท) ก็จะมีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างเช่น ตั้งเวลาการทำความสะอาดล่วงหน้า, ตรวจจับระบบแบบเรียลไทม์ และมีระบบอัพเดทโปรแกรมอัตโนมัติ

ลง Windows ใหม่ต้องติดตั้งโปรแกรมที่จำเป็น มีอะไรบ้าง ?

หลังจากที่เราติดตั้ง Windows ใหม่เสร็จแล้ว ควรจะทำอะไรต่อไปบ้าง สิ่งแรกที่หลายๆ คนควรทำก่อนก็คือการอัพเดทระบบปฏิบัติการ Windows ให้เป็นรุ่นล่าสุดครับ เพราะการอัพเดทนี้สามารถช่วยปรับปรุงแก้ไขการทำงานที่ผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในระบบ ทำให้ระบบรองรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์หรือฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ๆ ได้ รวมทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยปิดกั้นช่องโหว่จากการบุกรุกทางออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ในระดับหนึ่ง

จากนั้นจะเป็นการตั้งค่าส่วนต่างๆ เช่น การตั้งค่าปุ่มสลับภาษา ตั้งค่าเวลา และตั้งค่าไอคอนหลักให้แสดงบนหน้าเดสก์ท็อป เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้จะทำก่อนหรือหลังก็ได้ครับ และท้ายสุดจะเป็นการติดตั้งโปรแกรมพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้งาน “ต้องติดตั้งโปรแกรมที่จำเป็นมีอะไรบ้าง” โดยจะแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ทั้งจำเป็นต้องมีหรือมีติดไว้ก็เผื่อใช้งานก็ได้ดังนี้ครับ

โปรแกรมที่จำเป็นต้องใช้เมื่อ ลง Windows ใหม่ (แนะนำ)
1. โปรแกรมอัพเดตไดรเวอร์ เป็นโปรแกรมแรกที่ควรติดตั้งหลังจากที่เราอัพเดตระบบปฏิบัติการเป็นรุ่นล่าสุดไปแล้ว เพราะไดรเวอร์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การทำงานของอุปกรณ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดการทำงานที่ผิดพลาดซึ่งอาจเกิดจากรุ่นของไดรเวอร์ที่ล้าสมัย

*Driver Booster คือหนึ่งในโปรแกรมฟรีที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มา สามารถสแกนหาไดรเวอร์ของอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมดได้อย่างทั่วถึง และให้เราอัพเดตไดรเวอร์ทั้งหมดเพียงคลิกเดียว นอกจากนี้โปรแกรม Driver Booster ยังมีรุ่น Pro ที่สนับสนุนผู้ใช้งานด้วยคุณสมบัติพิเศษอีกมากมาย แต่สำหรับการใช้ไม่บ่อยครั้งแค่รุ่นฟรีก็พอแล้ว
*Graphics Driver ไดรเวอร์การ์ดจอของแต่ละค่าย สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการ์ดจอรวม การ์ดจอแยกต่างหาก ทั้ง Intel, NVIDIA หรือ AMD ควรหามาติดตั้งให้ตรงรุ่นด้วยครับ
2.โปรแกรมบีบอัดไฟล์และแตกไฟล์ เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่มีความจำเป็นต้องใช้ เพราะในบางกรณีที่เราดาวน์โหลดไฟล์ที่มีการบีบอัดด้วยนามสกุล .zip หรือ .rar โปรแกรมที่ใช้อย่างเช่น WinZip, WinRAR, 7-Zip ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ช่วยในการจัดการด้านนี้

*WinZip (ฟรีทดลองใช้) โปรแกรมมาตรฐานในด้านการบีบอัดไฟล์นามสกุล .zip โดยจะใช้งานคุณสมบัติพิเศษได้เพียง 21 วัน หลังจากนั้นเราจะยังคงใช้งานได้ปกติในคุณสมบัติพื้นฐาน
*WinRAR (ฟรีทดลองใช้) โปรแกรมที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานเลือกใช้มากที่สุดในมาตรฐานการบีบอัดไฟล์นามสกุล .rar สามารถใช้งานโปรแกรมคุณสมบัติพิเศษได้ 40 วัน หลังจากนั้นยังสามารถใช้งานได้ตามปกติในคุณสมบัติพื้นฐาน
*7-Zip (ฟรี) โปรแกรมสามารถใช้งานในการบีบอัดไฟล์และแตกไฟล์ นามสกุลมาตรฐานของโปรแกรมคือ .7z และรองรับการแตกไฟล์ .zip, .rar ได้ด้วยเช่นกัน
3.โปรแกรมด้านความปลอดภัย ติดตั้งไว้อุ่นใจกว่า โปรแกรมแอนตี้ไวรัส หรือโปรแกรมป้องกันไวรัส ปัจจุบันมีแบบใช้งานฟรีมากมาย (หรือยอมเสียเงินหน่อยซื้อโปรแกรมดีๆ ที่ใช้รายปีไม่แพงก็คุ้มค่าครับ) หาเลือกมาติดตั้งสักหนึ่งตัวไม่เกินนี้ หากมีเยอะก็ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราช้าลงได้ครับ เพราะโปรแกรมประเภทนี้มักจะทำงานแบบเรียลไทม์ ซึ่งใช้งาน CPU และ RAM อยู่บ้าง แต่ยังสามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมแอนตี้มัลแวร์ได้ซึ่งโปรแกรมนี้จะช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ของเราจากมัลแวร์ชนิดที่มากับเว็บไซต์ การคลิกลิงค์อันตราย และมากับไฟล์ที่ดาวน์โหลด การทำงานก็จะคนละหน้าที่กับโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

*Avast Free โปรแกรมป้องกันไวรัสฟรีที่ได้รับความนิยมสูง แต่ก็ยังมีคู่แข่งจากค่ายอื่นๆ ที่แม้จะไม่ฟรีแต่ก็มีคนยอมจ่ายเงินเพื่อใช้ เช่น Kaspersky, ESET NOD32 เป็นต้น
*Malwarebytes เป็นโปรแกรมแอนตี้มัลแวร์ที่ใช้งานฟรี ใช้เมื่อต้องใช้ไม่ใช่โปรแกรมที่ป้องกันตลอด 24 ชั่วโมง (ต้องอัพเกรดถึงจะใช้แบบเรียลไทม์ได้) สแกนได้ทั่วถึงและครอบคลุม แต่บางกรณีก็ต้องดาวน์โหลดตัวอื่นมาใช้เป็นครั้งคราวอยู่ดี
4.โปรแกรมเบราว์เซอร์ สำหรับท่องเว็บไซต์ผ่านอินเทอร์เน็ต ด้วยความเคยชินที่คนส่วนใหญ่มักจะมีเบราว์เซอร์ที่ใช้ประจำอยู่แล้ว พอเปลี่ยนไปใช้เบราว์เซอร์อื่นแล้วก็จะไม่ค่อยถูกใจ รู้สึกแปลกๆ ทั้งๆ ที่หน้าการใช้ทุกอย่างแทบจะเหมือนกัน บางคนไม่ว่าจะอะไรก็ใช้หมด แต่ก็ยังมีคำพูดที่ว่า เปิด Microsoft Ege เพียงไว้เพื่อโหลดเบราว์เซอร์อื่นมาติดตั้งเท่านั้น ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่ควรดูถูกกันเกินไป

*Google Chrome เป็นเบราว์เซอร์ที่เปิดคอมเครื่องไหนก็เจอแทบทุกเครื่อง ทั้งๆ ที่ตอนติดตั้ง Windows ก็ไม่ได้ติดมาด้วยสักหน่อยแน่นอนอยู่แล้วครับหากไม่มีคนใช้มันก็ไม่โผล่มาให้เห็น เบราว์เซอร์ยอดนิยมใช้ร่วมกับการค้นหาของ Google Search ได้สะดวกสบาย ส่วนในด้านการทำงานนั้นถ้าสังเกตเบราว์เซอร์นี้ยิ่งสเปคเครื่องแรงขึ้นมันก็จะใช้ทรัพยากรเครื่องเรามากขึ้นตามไปด้วย
*Mozilla Firefox เป็นเบราว์เซอร์ที่เห็นอยู่ปะปราย จะมีก็เฉพาะคนที่ใช้อีกเช่นกัน แต่ก็เป็นเบราว์เซอร์ที่โด่งดังอีกหนึ่งตัว ในเครื่องอาจจะมีทั้ง Chrome และ Firefox
5.โปรแกรมจัดการเอกสาร เป็นโปรแกรมที่ขาดไม่ได้เพราะไฟล์เอกสารต่างๆ ล้วนแต่ต้องใช้โปรแกรมด้านนี้เปิดดู อ่าน หรือแก้ไขกันทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงไม่แนะนำโปรแกรมอื่นนอกจาก

*Microsoft Office 2010 ขึ้นไป (ต้องซื้อ License) ถ้าใช้รุ่นที่ต่ำกว่านี้เวลานำมาเปิดกับรุ่นที่สูงกว่ามักจะเพี้ยน หรือใครที่คิดว่าใช้โปรแกรมฟรีทดแทนได้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกครับ แต่เวลาเอามาเปิดกับ Microsoft Office โดยเฉพาะโปรแกรม Microsoft Word แล้ว มันก็จะแสดงผลออกมาเพี้ยนหน่อย แต่ก็ไม่เป็นทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าต้นฉบับที่พิมพ์มานั้นจัดหน้าแปลกๆ หรือวางตำแหน่งซับซ้อนเกินไปหรือเปล่า
*โปรแกรมอ่านไฟล์ PDF ปัจจุบันนี้ไม่ต้องใช้โปรแกรมช่วยอ่านเลยก็ได้ เพราะไฟล์ PDF สามารถเปิดดูผ่านเบราว์เซอร์ได้เลย และอีกอย่างใครที่ต้องการสร้างไฟล์ PDF ก็แทบจะไม่ต้องใช้โปรแกรมสร้าง PDF อีกเช่นกันเพราะโปรแกรมสมัยใหม่รองรับการบันทึกเป็นไฟล์ PDF ได้หมดแล้ว จึงไม่นับว่าจำเป็นต้องมีก็ได้
6.โปรแกรมแต่งรูป เรียกว่าก้ำกึ่งระหว่างคำว่า “จำเป็นต้องมี” กับ “ควรติดตั้ง” เพราะเป็นโปรแกรมที่ใช้ไม่เป็นไม่มีก็ได้ หรือติดตั้งไว้เผื่อได้ใช้ โปรแกรมประเภทนี้มีให้เลือกใช้มากมายทั้งใช้งานแบบขั้นสูงสำหรับคนที่ชอบแต่งรูปด้วยความสามารถตอนตนเอง หรือโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีตัวอย่างฟิลเตอร์ โทนสี สไตล์ อาร์ตๆ รูปแบบการจัดวางต่างๆ เพียงไม่กี่คลิกก็สวยดั่งใจปรารถนา

*Photoshop (ไม่ฟรี ทดลองใช้ 30 วัน) อันดับหนึ่งโปรแกรมยอดนิยมที่ใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชั่น สารพัดงานการแต่งจบได้ภายในโปรแกรมเดียว
*Photoscape (ฟรี) ถึงจะฟรีแต่ก็มีประสิทธิภาพ สามารถใช้แต่งรูปออกมาได้อย่างมีระดับ มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่รองรับความต้องการที่หลากหลาย
*XnRetro (ฟรี) โปรแกรมสำเร็จรูปที่มีฟิลเตอร์หลากหลายสไตล์ เช่น
ย้อนยุค วินเทจ การเล่นแสง และ ใส่กรอบ
7.โปรแกรมด้านความบันเทิง เอาไว้สำหรับเปิดไฟล์วิดีโอ ไฟล์เสียง แม้ว่าบางคนจะไม่เคยเปิดใช้เลยก็ตาม ด้วยปัจจุบันที่อินเทอร์เน็ตไวมากหาดูหาฟังแบบออนไลน์ได้สบาย แต่บางครั้งมันก็ต้องมีบ้างที่จำเป็นต้องใช้ดังนั้นติดตั้งไว้ดีกว่าไม่มีแนะนำว่ามีอย่างน้อย 2 โปรแกรมครับ

*GOM Media Player หรือ KMPlayer ก็ได้ โปรแกรมฟรีสำหรับใช้ดูหนัง เล่นไฟล์วีดีโอ
*VLC Media Player หรือ K-Lite Codec ก็ได้ โปรแกรมฟรีสำหรับใช้ดูหนัง เล่นไฟล์วิดีโอ
*AIMP หรือ GOM Audio โปรแกรมฟังเพลงฟรี จัดคิวเพลง (อาจไม่จำเป็น)
8.โปรแกรมทำความสะอาดเครื่อง ถูกนับเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่จำเป็นต้องใช้หรือควรมีติดไว้ในเครื่อง เพราะว่าประโยชน์ของโปรแกรมประเภทนี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ของเรามีสุขภาพดี!! ช่วยลบขยะที่เกิดขึ้นทุกวันจากการใช้งานของเรา ขยะที่เกิดจากการบันทึกชั่วคราว ไฟล์รูปภาพ ไฟล์เท็ก ไฟล์แคชต่างๆ ช่วยให้คอมพิวเตอร์เร็วขึ้นเล็กน้อย และช่วยให้พื้นที่เก็บข้อมูลว่างมากยิ่งขึ้น

*CCleaner โปรแกรมเดียวเอาอยู่ เป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ได้รับความนิยมจากผู้ใช้จำนวนมาก ใช้งานง่ายเพียงแค่คลิกปุ่ม Run Cleaner โปรแกรมก็จะทำการสำรวจทรัพยากรส่วนเกินในแต่ละจุดที่เป็นขยะ จากนั้นก็ทำการล้างข้อมูลทิ้งไป รับประกันได้ว่าไม่มีผลกระทบกับการทำงานของระบบปฏิบัติการ หากใครมีโปรแกรมที่เคยใช้อยู่แล้ว หรือดีกว่าก็ไม่ว่ากัน ผมแค่แนะนำ
ส่วนโปรแกรมอื่นๆ นอกเหนือจากที่ได้ยกมาแนะนำในบทความนี้ อาจจะมีอีกมากมายที่ต่างคนต่างเลือกใช้ตามความเหมาะสม และยังมีโปรแกรมอีกหลายๆ กลุ่มที่ผมไม่ได้พูดถึงเพราะมันไม่จำเป็นต้องมีไว้ก่อน หากอยากได้ตอนไหนก็สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งเมื่อไหร่ก็ได้ใช้เวลาไม่นานครับ

โปรแกรมพื้นฐานที่จำเป็นใน Windows 10 / 8.1 / 7 นิยมดาวน์โหลดมาใช้

หลังจากติดตั้ง Windows เสร็จแล้ว สิ่งที่ต้องทำหลังจากตั้งค่าระบบ Windows ก็คือการติดตั้งโปรแกรมที่จำเป็นใช้งานใน Windows บทความนี้จึงเอาซอฟต์แวร์พื้นฐานที่ต้องใช้งานใน Windows 10 และ Windows 8.1 / 7 มาให้เลือกไปใช้งานกันครับ โดยที่จะเอามาแนะนำก็เป็น โปรแกรมพื้นฐาน ที่ปกติเมื่อผมลง Windows 10 ให้เครื่องลูกค้าเสร็จจะต้องติดตั้งไว้ให้อยู่แล้วครับ ส่วนถ้าลูกค้าต้องใช้โปรแกรมอะไรเพิ่มเติมก็ค่อยติดตั้งให้ครับ

แนะนำโปรแกรมพื้นฐานที่จำเป็นใน Windows
โดยปกติเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้ง Windows แบบ clean install หลังจากที่ติดตั้งเสร็จก็ต้องลงซอฟต์แวร์ต่อ แต่ถ้าเป็นการลงแบบ Ghost แบบที่โคลนมาก็จะมีโปรแกรมให้พร้อมเลยที่ร้านซ่อมคอมฯ ส่วนใหญ่มักจะลงให้ลูกค้า เพราะประหยักเวลา ซึ่งโปรแกรมที่มาพร้อม Windows แบบ Ghost ก็จะมีทั้งที่ใช้งานและไม่ใช้งาน หรือบางโปรแกรมเรายังไม่เคยใช้งานและอาจจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ ดังนั้นการติดตั้ง Windows ที่ดีที่สุดก็คือแบบปกติเดิมๆ

และโปรแกรมพื้นฐานที่จะเอามาแนะนำก็เป็นที่ผมติดตั้งให้ลูกค้าเบื้องต้น นอกจากที่ลูกค้าจะแจ้งเพิ่มเติมว่าต้องการใช้โปแรกรมอื่นๆ อะไรบ้าง เดี๋ยวมาดูกันว่ามีโปรแกรมอะไรบ้างที่จำเป็นต้องมีติดตั้งใน Windows 10 และ Windows 8.1 / 7 โดยจะแนะนำตัวโปรแกรมที่เป็นประเภทแบบฟรีแวร์ ซึ่งสามารถหาดาวน์โหลดไปใช้งานได้เลยในเว็บไซต์ ตามลักษณะการใช้งานของแต่ละคน และบางโปรแกรมที่อาจจะต้องจ่ายตังซื้อ License มาใช้งาน Microsoft Office ที่เป็นตัวซอฟแวร์ที่ต้องจ่ายเงินซื้อ License มาใช้งาน

1.โปรแกรมจัดการงานเอกสาร เป็นส่วนแรกที่ต้องติดตั้งก่อนเลย เพราะไฟล์เอกสารส่วนมากก็ต้องเปิดอ่านกัน แม้จะไม่ได้ค่อยสร้างไฟล์เอกสารเท่าไร แต่ถ้าต้องเปิดอ่านไฟล์ประเภทของโปรแกรมนั้นก็ต้องหามาติดตั้ง แม้ว่าจะมีโปรแกรมที่ Windows มีให้เพื่อใช้งานทดแทนกันได้ ก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เราจะไม่ค่อยคุ้นกัน หรือ ไม่สะดวกเหมือนโปรแกรมเสริม ซึ่งที่นิยมใช้งานก็จะมี
*Microsoft Office 2010 / 2013 / 2016 (ตัวนี้ต้องซื้อ License มาใช้ครับ)
*อ่านไฟล์ pdf อย่างเดียว
Acrobat Reader
Foxit Reader
*อ่านและแก้ไขไฟล์ pdf
Acrobat Pro
PhantomPDF
Nitro Pro

2.โปรแกรมบีบอัดไฟล์ ตัวนี้ก็สำคัญครับ เพราะเราต้องรับไฟล์จากเพื่อน หรือโหลดไฟล์จากเว็บ ซึ่งส่วนมากแล้วจะบีบอัดเป็นไฟล์ WinRAR, WinZIP, 7zip เป็นตั้น หรือจะใช้รวมไฟล์เอกสารหลายๆ ไฟล์มาไว้เป็นไฟล์เดียวกัน เพื่อส่งอีเมล เป็นต้น
7zip (ฟรีแวร์)
WinRAR (ตัวนี้ไม่ฟรีนะ)
WinZip (ตัวนี้ไม่ฟรี ซึ่งมีหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นแบบฟรี)

3.โปรแกรมรีโมทซัพพอต สำหรับตัวนี้ถามว่า User จำเป็นต้องใช้ไหม ตอบว่าควรจะมีครับ เพราะแม้ว่าเราไม่ได้ใช้รีโมทไปหาเครื่องคอมฯ คนอื่น แต่เราก็อาจจะต้องให้คนอื่นรีโมทมาตรวจสอบหน้าคอมให้นั้นเอง ดังนั้นควรจะมีติดตั้งไว้
TeamViewer (มีทั้งแบบต้องซื้อ และแบบฟรี)
AnyDesk (ตัวนี้ไม่เคยใช้)
UltraViewer (ตัวนี้ใช้งานได้ฟรี)

5.โปรแกรมแต่งรูปภาพ สำหรับตัวนี้น่าจะรู้จัก Photoshop กันดี แต่โปรแกรมประเภทนี้จะเป็นการใช้งานส่วนบุคคลซะมากกว่าครับ เพราะ User บางคนนั้นอาจจะไม่ได้เป็นต้องใช้งานโปรแกรมประเภทนี้
PhotoScape (ฟรี)
ACDSee Pro (ไม่ฟรี)
IrfanView (ฟรี)
Paint.NET (ฟรี)
6.โปรแกรมจับภาพหน้าจอ สำหรับตัวนี้เราน่าจะรู้จัก Snipping Tools ซึ่งเป็นเครื่องฟรีที่มาพร้อมระบบ Windows โดยที่เราไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม แต่สำหรับหลายคนก็ยังมีเครื่องมือไม่ครอบคลุม จึงต้องหาซอฟแวร์อื่นมาเพื่อ ซึ่งก็มีแนะนำตามนี้ครับ
Techsmith SnagIt (ไม่ฟรี)
Lightshot (ฟรี)
Greenshot (ฟรี)
FastStone Capture (ฟรี)
7.3โปรแกรมแปลงไฟล์ ตัวนี้ก็อาจจะจำเป็นบางครั้งครับ เช่นแปลงไฟล์ mp4 เป็น mp3 เป็นต้น
Format Factory (ฟรี)
8.โปรแกรมเล่นไฟล์หนัง ไฟล์วีดีโอ แน่นอนว่าสำคัญไม่แพ้ตัวอื่น เพราะการทำงานก็ต้องมีผ่อนคลายกันบ้าง ซึ่งการผ่อนคลายหลายๆคนก็มักจะ ฟังเพลง ดูหนัง และถ้านึกถึงเปิดหนังเชื่อว่าหลายคนนึกถึง CyberLink PowerDVD สำหรับผมไม่แนะนำเลยครับ ไฟล์ติดตั้งขนาดใหญ่ไปหนักเครื่อง
VLC Media Player (ฟรี)
GOM Media Player (ฟรี)
KMPlayer (ฟรี)
K-Lite Mega Codec Pack (ฟรี)
9.โปรแกรมเล่นไฟล์เพลง ฟังเพลง ซึ่งโปรแกรมกลุ่มนี้มีอยู่ตัวเหมือนกัน อยู่ที่ว่าผู้ใช้ชอบตัวไหนกว่ากัน เพราะคุณภาพก็ไม่ค่อยต่างกันมาก ซึ่งเสียงดีไม่ดีต้องดูที่ฮาร์ดแวร์พวก หูฟัง ลำโพง ที่เปิดด้วย
iTunes (ฟรี)
AIMP (ฟรี)
Spotify (ฟรี และจ่ายตักซื้อแพคเพิ่ม)
Audacity (ตัดต่อเพลงได้ด้วย) (ฟรี)
foobar2000 (ฟรี)
10.โปรแกรมซิงค์ข้อมูล เป็นการซิงค์ข้อมูลในเครื่องคอมฯ กับข้อมูลไดรฟ์ออนไลน์ หรือ Cloud Storage แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการสำรองข้อมูลไปในตัว เพราะเมื่อคอมเราพังข้อมูลใน Cloud ก็ยังสามารถเปิดผ่านสมาร์ทโฟนหรือคอมเครื่องอื่นได้ ชื่อซอฟต์แวร์ของกลุ่มนี้ก็เหมือนๆกันครับ ต่างกันแค่ว่าเราเก็บข้อมูลไว้ที่ไหน ก็เลือกใช้ของที่นั้น
DropBox
Google Backup and Sync
MEGAsync
11.โปรแกรมดูเว็บไซต์ ตัวนี้ถ้าไม่ลงก็เห็นจะไม่ได้ เพราะลำพัง Internet Explorer และ Microsoft Edge ที่ Windows ให้มายังไม่พอสำหรับการใช้งาน แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้ติดตั้งตัวอื่นเพิ่มเลย
Google Chrome
Firefox
12.โปรแกรมแชท ตัวนี้ก็มีไม่กีตัวที่มักจะใช้งานกัน
LINE for PC
Skype
13.โปรแกรมแอนตี้ไวรัส สำหรับตัวนี้ก็คงจะขาดไม่ได้ แต่ถามว่าต้องลงใหม่ แนะนำให้ลงเพิ่มไว้สบายใจกว่าครับ แม้จะเป็นตัวฟรีก็ตาม ซึ่งในส่วนโปรแกรมกลุ่มนี้เคยได้โพสแนะนำไว้ใน บทความแนะนำโปรแกรมแอนตี้ไวรัสฟรี 2018 ครับ ซึ่งคลิกเข้าไปดูตามลิงก์ได้เลย
ขอแนะนำไวเพียงเท่านี้ก่อนครับ บทความนี้สร้างไว้นานแล้วแต่ไม่ได้โพสซะที เพราะ โปรแกรมพื้นฐาน มีมากมายหลายตัว ไม่รู้ว่าจะแนะนำตัวไหนดี จึงคิดว่าน่าจะแนะนำตัวที่จำเป็นจริงๆ ซึ่งมีอีกหลายตัวที่นิยมใช้งานกันแต่ไม่ค่อยได้ติดตั้งให้ เพราะส่วนมากจะเป็นเครื่องของบริษัทจึงใช้เพียงโปรแกรมที่จำเป็นสำหรับ Windows เท่านั้น ซึ่งยังมีโปรแกรมดาวน์โหลดไฟล์, ไรท์แผ่น, จับภาพหน้าจอ และอื่นๆ

Microsoft เปิดให้ผู้ใช้ Windows 7, 8 และ 8.1 ของแท้ อัปเกรดเป็น Windows 10 ได้ฟรี

Microsoft เคยประกาศออกมาแล้วว่า Windows 7 จะสิ้นสุดการสนับสนุนซอฟท์แวร์หลังจากเดือนมกราคมปี 2020 เป็นต้นไป ซึ่งทาง Microsoft เองก็พยายามผลักดันให้คนหันมาใช้  Windows 10 กันมาตลอด และเคยปล่อยให้อัปเกรดฟรีจนถึงปี 2016 อีกด้วย แต่จริงๆ แล้วทุกวันนี้ผู้ใช้งาน Windows 7, 8 และ 8.1 ก็ยังสามารถอัปเกรดเป็น Windows 10 ได้อยู่แบบฟรีๆ ผ่าน Media Creation Tool ง่ายๆ ในไม่กี่ขั้นตอน

Windows 10 เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2015 ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หลายๆ คนยังไม่ให้การยอมรับกันนัก (อาจจะด้วยความเคยชินกับระบบเดิม หรือยังไม่แน่ใจเรื่องความเสถียร) ทำให้คนยังคงใช้ Windows 7 กันอยู่ในสัดส่วนเกินครึ่ง…แต่ทุกวันนี้บอกได้เลยว่า Windows 10 ได้รับการอัปเดตไปไกลกว่าเดิมมาก จนสามารถใช้งานได้เสถียรมากขึ้น จนสามารถใช้งานได้อย่างสบายใจแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังใช้ระบบ Windows รุ่นเก่าๆ ตั้งแต่ Windows 7 – 8.1 อยู่ ก็หันมาลองใช้ Windows 10 กันดูดีกว่าครับ (หากเพื่อนๆ ใช้ Windows 7 รุ่น Pro อยู่พอเปลี่ยนเป็น Windows 10 แล้วก็จะยังคงเป็นรุ่น Pro อยู่เหมือนเดิมครับ)

ขั้นตอนการอัปเกรดเป็น WINDOWS 10

  • ก่อนอื่นให้เข้าเว็บสำหรับดาวน์โหลด Windows 10 (คลิกที่นี่) กันก่อนนะครับ
  • กดปุ่ม Download tool now เพื่อดาวน์โหลด MediaCreationTool.exe

  • เมื่อดาวน์โหลดเสร็จแล้วเปิดโปรแกรม Media Creation Tool และให้กดยอมรับเงื่อนไขไปเรื่อยๆ
  • พอถึงหน้า What do you want to do? ให้กด Upgrade this PC now จากนั้นกดปุ่ม Next

  • ถัดมาตัว Tool จะถามว่าจะให้เรา เก็บไฟล์เดิมไว้ หรือ ล้างเครื่องใหม่หมด อันนี้อยู่ที่เราเลือกเลย
  • สุดท้ายกดปุ่ม Install ด้านล่างขวา และรอทำการติดตั้ง ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นชั่วโมง และเครื่องจะรีสตาร์ทเองหลายรอบ ก็ไม่ต้องตกใจไปนะครับ (เรื่องปกติ)
  • หลังติดตั้งเสร็จเรียบร้อย ก็จะต้องทำการ Activation กันก่อน วิธีก็ง่ายๆ คือให้คอมเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเอาไว้ จากนั้นกดปุ่ม Start -> Settings -> Windows Update -> Activation เพื่อเริ่มใช้งาน Digital License อัตโนมัติหรืออาจจะต้องเอา Product Key จากกล่อง Windows 7, 8 หรือ 8.1 มากรอกเอง เพียงเท่านี้ก็สามารถเริ่มใช้งาน Windows 10 ของแท้ได้แบบเต็มประสิทธิภาพกันแล้วครับ

อย่างไรก็ตามการอัปเกรดแบบนี้จะใช้ได้เฉพาะคนที่ Windows 7, 8 และ 8.1 ของแท้ เท่านั้น ซึ่งส่วนตัวทีมงานแนะนำให้อัปเกรดเป็น Windows 10 เพราะใช้งานได้ดีกว่า รองรับอะไรใหม่ๆ ได้มากกว่า และมีการอัปเดต Patch ความปลอดภัยอยู่เรื่อยๆ อีกด้วย

หากคอมที่เพื่อนๆ ใช้เป็นรุ่นใหม่กว่าปี 2015 ก็สามารถอัปเกรดเป็น Windows 10 ได้เลย แต่ถ้าหากเก่ากว่านี้ไม่แนะนำให้อัปเกรดนะครับ เพราะอุปกรณ์บางอย่างอาจจะไม่รองรับ หรืออาจจะหาไดรเวอร์เพื่อใช้งานร่วมกันไม่ได้แล้วนั่นเองครับ

Firefox สามารถเล่นวิดีโอคลิป บนระบบ Windowsได้แล้ว

Firefox สามารถเล่นวิดีโอคลิปแบบภาพควบคู่บนระบบ Windows ได้แล้ว ส่วนสำหรับ MacOS กับ Linux มาแน่เดือนหน้า Engadget รายงานว่า Firefox เวอร์ชัน 71.0 หรือรุ่นล่าสุด มีการเพิ่มฟังก์ชันให้สามารถเล่นวิดีโอคลิปแบบ “Picture-in-Picture” สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows

การเล่นวิดีโอคลิปแบบ Picture-in-Picture คือผู้ใช้งานจะสามารถลากและพินวิดีโอคลิปจาก Youtube หรือเว็บอื่น ๆ ลงบนหน้าจอของคุณในตำแหน่งไหนก็ได้ ซึ่งวิธีใช้งานก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่โหลดหน้าเว็บเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ใช้กดปุ่มสีน้ำเงินข้างคลิป “เพื่อเล่นภาพควบคู่” เพียงเท่านี้ คุณสามารถย้ายหน้าจอวิดีโอคลิปไปไว้ตำแหน่งบนหน้าจอตรงไหนก็ได้เป็นอันเรียบร้อย

การเล่นวิดีโอแบบ Picture-in-Picture มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ชื่นชอบใช้ระบบ Multitasking เป็นประจำวัน อย่างเช่นการทำงานไป ชมวิดีโอคลิปไป เป็นต้น แม้ตอนนี้ฟังก์ชันดังกล่าวเปิดให้ใช้เฉพาะ Windows เท่านั้น แต่ Mozilla ยืนยันว่าสำหรับระบบ MacOS กับ Linux จะเพิ่มออปชันในช่วงเดือนมกราคมปี 2020

Image result for Firefox สามารถเล่นวิดีโอคลิป บนระบบ Windowsได้แล้ว

ผู้ที่ใช้งาน Windows 7,8,8.1 เดิมสามารถอัปเกรดเป็น Windows 10 ได้ทันที

เมื่อ Windows 10 เปิดตัวใหม่ ๆ ทาง Microsoft ได้ประกาศให้ผู้ที่ใช้งาน Windows 7,8,8.1 เดิมสามารถอัปเกรดเป็น Windows 10 ได้ทันทีตั้งแต่เปิดตัวโดยให้เวลาอัปเกรดได้ฟรีภายใน 1 ปีแรก และต่อมาขยายให้ถึง ธันวาคม 2560

(หมายความว่าพ้นจากนี้ไป หากไม่เคยทำการอัปเกรด ก็จะไม่สามารถอัปเกรดได้แล้ว ถ้าจะให้ถูกต้องตามกฎหมาย คุณต้องไปซื้อลิขสิทธิ์ Windows 10 มาเท่านั้น หากไม่ได้ซื้อ จะต้องทำการ Clean Install [ติดตั้งใหม่] โดยจะเป็นสถานะเตือนให้ Activate ทั้งนี้เครื่องที่เคยอัปเกรดมาก่อนในช่วงก่อนหมดเขต ยังจะสามารถติดตั้ง Windows 10 แบบ Activate ถูกต้องได้ฟรี ๆ ไปตลอดจนกว่าเครื่องนั้นจะพัง)

แต่อย่างไรก็ตามจนถึง ณ ปัจจุบันนี้ ได้ทำการทดสอบแล้วพบว่า ผู้ที่ยังไม่เคยอัปเกรดเป็น Windows 10 จาก Windows 7,8,8.1 ยังคงสามารถอัปเกรดได้ตามปกติ เพียงแค่ Microsoft ไม่ได้ขึ้นแจ้งเตือน แต่สามารถดาวน์โหลดมาอัปเกรดเองได้อยู่ โดยที่สถานะยังมีการ Activate อย่างถูกต้องด้วย

ทาง ghacks.net ได้สอบถามไปยังผู้ที่อ้างว่าเป็นพนักงาน Microsoft บน Reddit ได้ข้อสรุปว่า

  • เหตุผลหนึ่งก็คือผู้บริหารของ “Microsoft มุ่งเน้นไปที่ เป้าหมาย 1 พันล้านอุปกรณ์ ให้มาใช้งาน Windows 10”
  • เหตุผลต่อมาก็คือ ต้องการให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในภาพรวม เหมือนเมื่อก่อนที่ยินยอมให้ Windows 7/8/8.1 เถื่อนสามารถอัปเกรดเป็น Windows 10 โดยมาสถานะหลังการอัปเกรดทำให้เหมือนของแท้ (ด้านการทำงานทางเทคนิคนะใช่ แต่ด้านทางกฎหมายลิขสิทธิ์ยังถือว่าเป็นของเถื่อนอยู่นะครับ)
  • Windows 7 จะยุติสนับสนุนในไม่กี่เดือนแล้ว จึงปล่อยให้อัปเกรดเป็น Windows 10 ได้ โดย Windows 10 นั้นไม่มีการยุติสนับสนุนเนื่องจากใช้วิธีออกอัปเดตใหม่เรื่อย ๆ

ดังนั้นก็สรุปได้ว่าในเมื่อทาง Microsoft ปล่อยให้อัปเกรดฟรี และ Windows 7/8/8.1 จะยุติการสนับสนุนแล้ว

  • Windows 7 ยุติการสนับสนุน 17 มกราคม 2563
  • Windows 8 ยุติการสนับสนุน 12 มกราคม 2559
  • Windows 8.1 ยุติการสนับสนุน 10 มกราคม 2566

ก็ควรอัปเกรดครับ อย่าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือจริง ๆ ในภายหลัง เขาขยายให้แบบเงียบ ๆ แบบนี้ก็รีบคว้าโอกาสเลย

เมื่อไม่มีการสนับสนุนแล้ว หากไม่อัปเกรดท่านจะต้องแบกรับความเสี่ยงเอาเอง ทั้งด้านความปลอดภัย ข้อมูลอาจจะเสียหายจากมัลแวร์และแฮกเกอร์ผ่านทางช่องโหว่ของ Windows รุ่นเก่าซึ่งมีอยู่มาก ทำให้มีโอกาสเสี่ยงมากกว่า Windows รุ่นใหม่ ๆ หลายเท่า และโปรแกรมและเกมรวมถึงบริการต่าง ๆ อาจจะใช้งานไม่ได้ในอนาคต Web Browser อาจจะเข้าใช้งานเว็บในอนาคตไม่ได้เพราะว่าก็ยุติการอัปเดตบน Windows เวอร์ชันเก่าตามไปด้วย

พบบั๊ก Whatapp ให้แฮกเกอร์ลงสปายแวร์ในมือถือเรา

ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานทั่วไปและผู้ใช้งานแอพระดับองค์กรของ WhatsApp ซึ่งโดนหมดไม่ว่าจะเป็น Google Android, Apple iOS และ Microsoft Windows

เพื่อโจมตีช่องโหว่นี้ แฮกเกอร์จำเป็นต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ของเป้าหมายที่สมัครใช้งาน Whatapp ไว้ จากนั้นก็ส่งไฟล์ MP4 ที่ทำขึ้นเฉพาะผ่าน Whatapp ถ้าเรากดคลิ๊กลิ้งค์เปิดไฟล์วีดีโอ แฮกเกอร์จะติดตั้งสปายแวร์ที่จะขโมยข้อมูลภายในเครื่องหรือไฟล์ต่าง ๆ ภายในเครื่องได้

ในเวอร์ชั่น Whatapp ที่มีช่องโหว่คือ

  • Wahatapp ใน Android เวอร์ชั่นก่อนอัพเดทเป็น 2.19.274
  • iOS versions ก่อนอัพเดทเป็น 2.19.100
  • Enterprise Client เวอร์ชั่นก่อนอัพเดทเป็น 2.25.3
  • Windows Phone เวอร์ชั่นก่อนอัพเดทเป็น 2.18.368
  • Business for Android  เวอร์ชั่นก่อนอัพเดทเป็น 2.19.104
  • Business for iOS เวอร์ชั่นก่อนอัพเดทเป็น 2.19.100

คำแนะนำคือ หากใครที่ใช้ Whatapp ช่วงนี้ใครส่งไฟล์วีดีโอมาให้ ให้หลีกเลี่ยงการคลิ๊กลิ้งค์ไปก่อนชั่วคราวจนกว่าจะมีการแก้ไขบักนี้ (แต่เนื้อหาข่าวบอกว่า Whatapp แอบแก้ไขแบบเงียบ ๆ แล้ว แต่ไม่ยอมเปิดเผย)

Image result for บั๊ก Whatsapp

Adobe ขยายการใช้งานแอปวาดภาพ Fresco ไปยัง Windows แล้ว

Adobe ได้เปิดตัวแอปวาดและระบายสีภาพ Fresco สำหรับ iPad ไปเมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมา ล่าสุดทาง Adobe ได้ประกาศเปิดตัวแอป Fresco เวอร์ชัน Windows ภายในงานประชุม Adobe Max 2019 โดยมีค่าบริการ 9.99 เหรียญต่อเดือน (ประมาณ 300 บาทต่อเดือน) แต่สำหรับผู้ที่สมัครใช้บริการ Adobe Creative Cloud แล้วนั้น จะใช้งานได้ฟรี

Fresco เวอร์ชัน Windows จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะได้อย่างง่ายดาย (รูปแบบการใช้งานเหมือนกับบน iPad) โดยผู้ใช้สามารถบันทึกผลงานเป็นไฟล์ PSD สำหรับใช้ใน Photoshop ต่อไปได้อย่างสะดวกสบาย

Adobe Fresco

ทาง Adobe ได้กล่าวว่า Fresco เวอร์ชัน Windows จะใช้งานบนอุปกรณ์ที่รองรับปากกา Stylus ได้ เช่น Microsoft Surface Pro หรือ Wacom MobileStudio Pro เป็นต้น และจะขยายการรองสำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ เพิ่มเติมต่อไป

Review – HP 15s โน้ตบุ๊ค Core i Gen 10 + RAM 4/8GB + SSD 256/512GB + Windows

Review – HP 15s โน้ตบุ๊ค Core i Gen 10 + RAM 4/8GB + SSD 256/512GB + Windows  HP พร้อมขายก่อนใคร ด้วยการนำเสนอโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมชิปประมวลผล Inel Core i Gen 10 อย่าง HP 15s โน้ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ดีไซน์บางเบาออกแบบมาใหม่ ดูสวยงามไม่แพ้รุ่นพี่ตัว Pavilion และเน้นในเรื่องของความคุ้มค่า ราคาไม่แพง เป็นหลัก และที่สำคัญมาพร้อมกับน้ำหนักที่เบามากเพียง 1.69 กิโลกรัม และบางเพียง 17.9 มิลลิเมตรเท่านั้น เหมาะกับสายการทำงานหรือบันเทิงที่เน้นการพกพาไปนอกสถานที่ อาจจะใช้งานตามออฟฟิศหรือร้านกาแฟแบบชิคๆ คูลๆ ได้ความฟรูหราโดดเด่นไม่น้อยหน้าใครในราคาเบาๆ ด้วย

โดย HP 15s  ปี 2019 รุ่นนี้มีความโดดเด่นสุดๆ เพราะเป็นรุ่นแรกของ HP ที่ใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 (Ice Lake) ที่ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ 10 นาโนเมตร ที่เล็กลงและดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ ซึ่งในตลาดตอนนี้มีให้เลือกทั้ง Core i3-1005G1 / Core i5-1035G1 พร้อมการ์ดจอออนชิปตัวใหม่ ที่สำคัญยังมีประสิทธิภาพโดยรวมที่ดีด้วย RAM 4GB / 8GB และ SSD ความจุ 256GB + Optane 16GB / SSD 512GB อีกด้วย สนนราคาเพียง 14,490 / 17,990 บาท ได้ Windows 10 พร้อมประกัน 2 ปี On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน

ในชื่อรุ่นเต็มๆ ของ HP 15s จะแบ่งออกเป็น 2 รุ่นคือ รุ่นที่ได้รับมารีวิวเป็น HP 15s-fq1012tu มาพร้อมสเปกชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดระดับกลางอย่าง Intel Core i5-1035G1 (Ice Lake) ทำงานแบบ 4 Core / 8 Thread ความเร็ว 1.0 – 3.6GHz เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 15Wattโดยมีการ์ดจอบนชิปเป็น Intel UHD Graphics G1 ที่รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบายๆ ส่วนใส่ฮาร์ดดิสก์ให้มาแบบ SSD M.2 NVMe ที่ 512GB พร้อม Ram ขนาด 8GB DDR4 ราคา 17,990 บาท

และอีกรุ่นคือ HP 15s-fq1001tu มาพร้อมสเปกชิปประมวลผลรุ่นเล็กอย่าง Intel Core i3-1005G1 (Ice Lake) ทำงานแบบ 2 Core / 4 Thread ความเร็ว 1.2 – 3.4GHz เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 15Watt โดยมีการ์ดจอบนชิปเป็น Intel UHD Graphics G1 ส่วนใส่ฮาร์ดดิสก์ให้มาแบบ SSD M.2 NVMe ที่ 256GB + Optane 16GB พร้อม Ram ขนาด 4GB DDR4 ในราคาที่ถูกกว่าที่ 14,490 บาท

ได้หน้าจอแสดงผลขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD หรือ 1920×1080 พิกเซล แบบด้าน พาเนล TN คุณภาพดี ความคมชัดสูง มีกล้องเว็บแคมและมีไมค์ดิจิตอลในตัว ทางด้านพอร์ตที่ติดตั้งมีมาให้จะใช้ถือว่าครบครันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง, SD Card Reader, HDMI สำหรับต่อหน้าจอเสริม, LAN และรูหูฟังกับไมค์แบบคอมโบ ซึ่งแน่นอนว่ารองรับการเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac (2×2) กับ Bluetooth 4.2 และมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.69 กิโลกรัม พร้อมการรับประกัน 2 ปีแบบ On-site Service ตามมาตรฐานของ HP ที่ทุกคนไว้ใจได้

  • i3-1005G1 / UHD G1/ RAM 4GB / SSD 256GB + Optane 16GB/ Windows 10 ราคา 14,490 บาท
  • i5-1035G1 / UHD G1/ RAM 8GB / SSD 512GB / Windows 10 ราคา 17,990 บาท

Microsoft ปล่อยตัวอัปเดต Windows เวอร์ชั่นล่าสุด อุดสองช่องโหว่อันตราย

Microsoft ปล่อยตัวอัปเดต Windows เวอร์ชั่นล่าสุด อุดสองช่องโหว่อันตราย CVE-2019-1181 และ CVE-2019-1182 ในส่วนของการรีโมทคอมฯ Remote Desktop Service (RDS) ที่มัลแวร์หนอนร้าย (Worm) อาจใช้เจาะเข้าระบบ Windows เพื่อเข้าควบคุมคอมพิวเตอร์ของเหยื่อและกระจายตัวสู่เครื่องอื่นๆ ที่อยู่ในระบบ Network แบบไม่รู้ตัว เหมือนกับที่ WannaCry ใช้โจมตีในช่วงปี 2017

CVE-2019-1181 และ CVE-2019-1182 มีความคล้ายกับช่องโหว่ Bluekeep ที่เจอเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และทาง Microsoft ได้แนะนำให้ผู้ใช้อัปเดตระบบเพื่อป้องกันการใช้ช่องโหว่เหล่านี้ แต่ถ้าไม่อัพเดตก็มีวิธีลดความเสี่ยด้วยการเปิดการใช้งาน Network Level Authentication (NLA) ที่ใช้กำหนดให้การรองรับความถูกต้องของผู้ใช้ในการเชื่อมต่อเดสก์ท็อประยะไกล

อย่างไรก็ตาม Microsoft ก็แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดต Windows ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด เพื่อป้องกันคอมฯ และระบบเน็ตเวิร์คจากการโจมตีจากมัลแวร์ประเภทหนอน (Worm) และการเข้าล็อคเครื่องแบบที่ Ransomware ใช้

Image result for Microsoft เตือนอัปเดต Windows