Microsoft เตรียมปล่อยแพทช์ Windows 10 ปรับหน้าเมนูใหม่

Microsoft ได้เปิดตัว Windows 10 รุ่นทดสอบตัวใหม่ ซึ่งเผยให้เราเห็นหน้าเมนูแบบ Start ที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดย Windows 10 ตัวนี้จะเป็น build 18947 ที่สำหรับนักพัฒนาให้ใช้ทดสอบกันก่อน ซึ่งในหน้าเมนู Start จะตัด Live Tiles ออกทั้งหมด แทนที่ด้วยไอคอนแอพของ Windows ที่มีติดครั้งไว้แทน แถมเพิ่มเครื่องมือค้นหาด้วย GIF และ Emoji ได้ด้วย

โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังทดสอบเฉพาะบนระบบ 32 บิตเท่านั้น ซึ่งผู้ที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แล้วก็บ่นอุบกันใหม่ว่าอยากกลับไปใช้ Live Tiles เหมือนเดิมที่เราสามารถเลือกโปรแกรม จัดวางเลเอาท์ด้วยตัวเองได้มากกว่าฟิคแอพแบบนี้นั่นเอง

Microsoft เปลี่ยนชื่อ Office Online

Microsoft ประกาศเปลี่ยนชื่อ Office Online หรือ Microsoft Office เวอร์ชันเว็บให้เหลือเพียงชื่อ Office (ตัดคำว่า Online ทิ้ง) รวมถึงแบรนด์ลูกทั้งหมดอย่างเช่น Word Online หรือ Excel Online ก็ถูกปรับชื่อโดยตัด Online ออกเหลือเพียง Word, Excel ด้วย

Microsoft ระบุว่าหลังจากเลิกใช้คำว่า Office Online แล้ว ต่อไปนี้การระบุว่าเป็น Office เวอร์ชันเว็บจะใช้คำว่า Office.com หรือ Office for the web เหมือนกับ Office for Windows หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ แต่จะไม่ใช้ชื่อ Office Online อีกแล้ว โดย Bill Doll เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายการตลาดของผลิตภัณฑ์ Microsoft ระบุว่าเนื่องจาก Microsoft ได้ให้บริการแอปมากกว่า 1 แพลตฟอร์ม จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้แบรนด์ย่อยตามแพลตฟอร์มอีก

อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์อื่นที่ตามด้วย Online อย่างเช่น Exchange Online, SharePoint Online, Project Online หรือ Office Online Server ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม Office จะยังคงใช้คำว่า Online ต่อท้ายเช่นเดิม

No Description

Microsoft Cortana กำลังถูกพัฒนาต่อยอด ให้แยกออกมาเป็นแอปเดี่ยว

ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่า Microsoft Cortana กำลังถูกพัฒนาต่อยอด ให้แยกออกมาเป็นแอพเดี่ยว บน Windows Store ตอนนี้ผู้ใช้ Windows Insiders สามารถเอามาทดลองใช้งานกันได้แล้ว

ในอัปเดต Windows 10 Insider Preview Build 18945 มีการเพิ่มฟีเจอร์อย่างหน้า “Hey Cortana” เข้ามา เป็นฟีเจอร์ใหม่ ลดการรบกวนการใช้งาน พร้อมยังอัปเดตเสียงการพูด และภาษาที่รองรับเพิ่ม

ล้ำหน้าโชว์ Microsoft Cortana ถูกจับแยกเป็นแอพเดี่ยว พร้อมให้ Windows Insiders ทดลองใช้แล้ว standalone app microsoft cortana

อัปเดตใหม่นี้ เพิ่งออกมาหลังจาก Microsoft เพิ่งได้ประกาศเปลี่ยนหน้า Home Screen ของ Xbox One และการใช้งานแผงควบคุมผ่าน Cortana

ตัวแอพแยกใหม่ของ Microsoft Cortana นี้ น่าจะได้เห็นการเปิดตัวออกมาให้ได้ใช้งานอย่างเป็นทางการกัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 หน้า

Windows 10 เรียก localhost ได้แล้ว

Windows Subsystem for Linux หรือ WSL เวอร์ชัน 2 ถือเป็นฟีเจอร์ใหญ่ของ Windows 10 รุ่นล่าสุด (จะมาในเวอร์ชัน 20H1) การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือมันเป็นลินุกซ์ที่ใช้เคอร์เนลตัวเต็ม ทำให้ได้ฟีเจอร์ต่างๆ เทียบเท่ากับดิสโทรลินุกซ์จริงๆ ที่รันอยู่ใน Windows 10 อีกทีผ่าน VM

ล่าสุดไมโครซอฟท์เพิ่มฟีเจอร์ให้ WSL 2 ใน Build 18945 ให้ฝั่ง Windows สามารถเข้าถึง WSL 2 ภายในเครื่องเดียวกัน ด้วยการเรียก localhost แทนการระบุ IP แบบเดิม นั่นแปลว่าเราสามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ใน WSL 2 แล้วใช้เบราว์เซอร์พิมพ์ localhost เพื่อเข้าใช้งานได้ทันที โดยที่ไม่ต้องตั้งค่าอะไรเพิ่มเลย

No Description

ของใหม่อย่างอื่นของ WSL 2 ได้แก่

  • เพิ่มไฟล์คอนฟิก .wslconfig ในโฟลเดอร์ C:\Users\\ เพื่อตั้งค่าของ WSL 2 แบบ global configuration (มีผลต่อทุกดิสโทรที่เราติดตั้ง)
  • เปิดให้ติดตั้งเคอร์เนลของ WSL 2 ได้เอง (นอกเหนือจากเคอร์เนลลินุกซ์ที่มากับ WSL 2) โดยกำหนดพาธได้จากไฟล์ .wslconfig ได้เช่นกัน
    ผู้ที่สนใจใช้งาน จำเป็นต้องใช้กับ Windows Insider กลุ่ม Fast Ring ซึ่งเป็นตัวทดสอบของ Windows 10 20H1 ที่จะออกในปีหน้า

Windows 10 เวอร์ชัน Internal-Only ใช้ทดสอบภายในเท่านั้น

Microsoft ปล่อย Windows 10 เวอร์ชัน Internal-Only ใช้ทดสอบภายในเท่านั้น ให้กับผู้ใช้ Windows Insider 32-bit ภายหลังถูกนำออกไปทันทีที่รู้ตัว Windows 10 เวอร์ชัน Internal-Only Build 18947 หลุดออกมาให้กับผู้ใช้ที่สมัคร Windows Insider ซึ่งก็พบว่ามีหลาย ๆ สิ่งเปลี่ยนไป โดยเฉพาะ Start Menu ที่เปลี่ยนไปใหม่ ทำให้คาดกันว่าจะถูกนำมาใช้ในเร็ว ๆ นี้ สิ่งที่ต่างไปจาก Start Menu ในปัจจุบันที่เห็นได้ชัดนั้น Live Tiles ที่หายไป

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือค้นหา GIF เพิ่มขึ้นมาใน Emoji Picker อีกด้วย โดยภายหลังจากที่ Build นี้หลุดออกมานั้น Microsoft ได้ออกมาแถลงว่าคือความผิดพลาดและได้นำตัวอัปเดตนี้ออกไปทันที

Microsoft OneDrive ก้าวสู่ความปลอดภัยอีกขั้น

Microsoft ที่เราคุ้นเคยกันอย่าง OneDrive เพิ่งได้รับการอัพเกรดครั้งใหญ่ และ สำหรับผู้ใช้งานฝากไฟล์ของ OneDrive อยู่เดิม 50GB ได้เพิ่มเป็น 100GB โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อีกทั้งยังมีบริการเสริมความปลอดภัยขึ้นอีกขั้นอย่าง Persona Vault ที่จะเพิ่มมาให้ใช้งานกันได้เร็วๆ นี้

มันคือระบบฝากไฟล์ที่มีความปลอดภัยขึ้นอีกขั้น โดยทุกๆ ไฟล์ที่อยู่ใน Personal Vault จะถูกเข้ารหัส encrypt และป้องกันโดยระบบยืนยันตัวตนเพิ่มขึ้นอีก 2 ชั้น (2-Factor Authentication) หรือ 2FA ผู้ใช้ทำการยืนยันได้โดย การสแกนนิ้ว, สแกนใบหน้า, รหัส PIN หรือ ส่งรหัสยืนยันผ่าน Email และ SMS เพื่อเข้าถึงไฟล์แบบปลอดภัยกว่าที่เคย เปรียบเสมือนการฝากไฟล์ที่มีระบบนิรภัยส่วนตัวตามชื่อเลย แถมรองรับเวอร์ชั่นมือถืออีกด้วย

Microsoft OneDrive ก้าวสู่ความปลอดภัยอีกขั้น ด้วย Personal Vault ใหม่

ส่วนการใช้งานนั้นก็ไม่ต่างจากปกติ หากคุณมีไฟล์ใดๆ ก็ตามที่สำคัญ คุณสามารถโยนไฟล์นี้ลงใน Personal Vault ได้เลย ยกตัวอย่างเช่น ไฟล์เอกสารข้อมูลส่วนตัว / ไฟล์เอกสารประกัน / ไฟล์เอกสารเกี่ยวกับภาษี / รูปภาพ / ไฟล์ใดๆ ก็ได้ที่คุณต้องการเก็บเพื่อให้ปลอดภัยจากบุคคลภายนอก แต่เมื่อเก็บในนี้แล้ว คุณจะต้องยืนยันตัวตนทุกๆ ครั้ง เพื่อเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น

นอกจากนี้ หากคุณเป็นผู้ใช้งาน Windows 10 ไฟล์ต่างๆ ใน OneDrive จะถูกซิงค์ร่วมกับ BitLocker ภายในเครื่อง และ มันจะทำการเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย โดยปกติแล้วเจ้าฟังก์ชั่น BitLocker นั้นจะมีให้ใช้บน Windows 10 Pro และ Enterprise เท่านั้น เป็นไปได้ว่า Microsoft จะทำให้ BitLocker รองรับแก่ Windows เวอร์ชั่นอื่นๆ ที่รองลงมา

อย่างไรก็ตามบริการ Personal Vault นี้จะเริ่มเปิดใช้งานใน Australia, New Zealand, และ Canada ก่อนจะปล่อยให้ผู้ใช้งานทั่วโลกจะเริ่มใช้ได้ภายในสิ้นปีนี้ ก็เป็นเรื่องดี ที่จะทำให้ข้อมูลส่วนตัวของเรานั้นปลอดภัยจากบุคคลภายนอกยิ่งขึ้น

 

ลือWindows จะทำการ Rebrand Windows Defender ใหม่

เป็นที่น่าสนใจพอสมควรกับการที่ Microsoft เน้นไปที่บริการข้ามแพลตฟอร์มมากขึ้น โดย gHacks ได้รายงานมาว่า Windows Defender และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะถูก rebrand เป็น Microsoft Defender เมื่อ Windows 10 20H1 ปล่อยให้อัพเดตต้นปีหน้า

Image result for Rebrand Windows Defender

ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งาน Windows Defender นอกจากนี้ยังมีคำถามอีกด้วยว่าจะมีการอัพเดตไปยัง Windows 7 ด้วยไหม แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้น (อย่างน้อยก็ยังงงน้อยกว่าการที่ Toshiba ทำการเปลี่ยนชื่อหน่วยความจำเป็น Kioxia)

จากข่าวลือแล้วความจริง Microsoft เพียงแค่ต้องการเปลี่ยนชื่อ Windows Defender เฉยๆ ดังนั้นทำให้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Windows เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว  ซึ่งทาง gHacks ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า Windows Defender ATP (Advanced Threat Protection) ได้ทำการขยายไปสู่ Android, iOS, macOS และ Linux ตั้งแต่ปี 2017 ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อไปเป็น Microsoft Defender ATP ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Microsoft ปฏิเสธการใใช้ชื่อ Windows กับบริการข้ามแพลตฟอร์ม

การกระทำนี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลกับกลยุทธ์ใหม่ของ Microsoft ในการให้บริการบนแพลตฟอร์มอื่น ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ Microsoft Word for Android มียอด Download มากกว่า 1 พันล้านครั้งบน Google Play หมายความว่า Microsoft Word for Android มีความนิยมมากกว่าระบบปฏิบัติการของ Microsoft ที่มีการติดตั้งอยู่ 850ล้านเครื่อง

การมุ่งเน้นที่แบรนด์ของตัวเองมากขึ้นจะช่วยให้ Microsoft สามารถขยายบริการไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น มันยากที่จะพบเห็นการติดตั้ง indows Defender ลงบน MacOS และ Linux โดยไม่ลังเล โดย Microsoft Defender อาจจะขายออกได้ง่ายกว่าถึงแม้ว่าทาง Microsoft จะกำลังพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่สามารถป้องกันสิ่งไม่พึงประสงค์ได้ดีขึ้นกว่าเดิม

Microsoft Word เวอร์ชั่น Android

Microsoft Word บนระบบปฏิบัติการอื่น ๆ อย่าง Android นั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการออกแบบที่ไม่หนีจากของเดิมและใช้ได้สะดวก และในตอนนี้ก็มีการดาวน์โหลด App มาติดตั้งในอุปกรณ์ต่าง ๆ มากถึง 1,000 ล้านครั้งแล้ว

โดยข้อมูลนี้มาจากหน้าดาวน์โหลด App ของทาง Play Store และจากเว็บไซต์ Android Police ที่ยืนยันแล้วว่าApp Microsoft Word นั้นมีการดาวน์โหลดจากผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1,000 ล้านครั้งแล้ว ในขณะที่ App อื่น ๆ ของ Microsoft อย่าง Excel, Power Point, One Note และ One Drive นั้นก็มีการดาวน์โหลดไปแล้วมากกว่า 500 ล้านครั้งเช่นกัน

ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันความนิยมของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี แม้ใน Android เองจะมี App ในการใช้งานด้านเอกสารและอื่น ๆ อยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้ใช้งานส่วนใหญ่ที่เลือกที่จะใช้ App ของทาง Microsoft อยู่เหมือนเดิม 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้ใช้งาน App มากมาย แต่การตลาดในด้านมือถือของทาง Microsoft นั้นไม่ได้ดีนัก แถมยังยกเลิกการสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows 10 บนมือถือไปแล้วอีกด้วย ซึ่งก็ดูจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างขัดกันอยู่พอสมควร

ไมโครซอฟท์ออกส่วนขยายชื่อว่า Elements for Microsoft Edge

นับเป็นข่าวดีสำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นนักพัฒนาเว็บ ซึ่งมักจะต้องเปิด Developer Tools (DevTools) บนเว็บเบราว์เซอร์เพื่อดีบักและแก้ไขข้อผิดพลาดของเว็บที่กำลังพัฒนากันอยู่บ่อยๆ

เมื่อไมโครซอฟท์ออกส่วนขยายสำหรับพัฒนาเว็บตัวใหม่ให้กับ Visual Studio Code ในชื่อว่า Elements for Microsoft Edge เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการดีบักเว็บไปอีกขั้น ด้วยการช่วยแสดงผลหน้าเว็บพร้อมดึงแท็บ Elements จาก DevTools บน Microsoft Edge (Chromium) ให้นักพัฒนาสามารถเรียกใช้งานได้จากภายใน VS Code โดยตรง

ส่วนเสริมดังกล่าวจะช่วยลดขั้นตอนในการแก้ไขหน้าเว็บ ในกรณีที่นักพัฒนาตัดสินใจดีบัก DOM ด้วยการเปิดเว็บเบราว์เซอร์ขึ้นมาตรวจสอบหน้าเว็บและทดลองแก้ไขโค้ด HTML/CSS บน DevTools ที่แม้ว่าจะช่วยทำให้สามารถดูผลของการแก้ไขหน้าเว็บบนเบราว์เซอร์ได้ในทันที

แต่ตัวนักพัฒนาก็จะยังต้องนำโค้ดที่แก้ไขแล้วบน DevTools ของเบราว์เซอร์กลับมาบันทึกที่โค้ดต้นฉบับบน code editor ซึ่งการแก้ไขโค้ดสลับไปสลับมาระหว่างเบราว์เซอร์และ code editor นี่เองที่อาจทำให้นักพัฒนาสับสนได้ (เช่นสลับไปเปิด code editor แล้วจำไม่ได้ว่าแก้ไขอะไรบนเบราว์เซอร์ไป)

การที่ส่วนขยาย Elements for Microsoft Edge ช่วยทำให้นักพัฒนาสามารถแก้ไขโค้ดต้นฉบับไปพร้อมๆ กับดูผลลัพธ์และดีบัก DOM ของหน้าเว็บได้ ภายใต้ VS Code เพียงหน้าต่างเดียวน่าจะช่วยลดความน่าสับสนที่เกิดจากเหตุการณ์ข้างต้นไปได้มาก

No Description

ส่วนขยาย Elements for Microsoft Edge ยังคงอยู่ในเวอร์ชันพรีวิว แต่ก็สามารถทดลองใช้งานได้แล้ว โดยจำเป็นต้องติดตั้ง

  • เบราว์เซอร์ Microsoft Edge Insider (เวอร์ชัน Canary หรือ Dev Channel)
  • ส่วนขยาย Elements for Microsoft Edge บน VS Code

แจ้งการปรับพื้นที่ว่างขั้นต่ำของ Windows 10 May 2019 Update (v1903)

จากข่าวเก่าเมื่อเดือนเมษายนที่ไมโครซอฟท์ได้แจ้งการปรับพื้นที่ว่างขั้นต่ำของ Windows 10 May 2019 Update (v1903) เพิ่มเป็น 32 GB ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ Windows เดิมที่มีสตอเรจไม่เพียงพอ โดยไม่ได้การชี้แจงในประเด็นนี้แต่อย่างใด

ล่าสุดได้มีประกาศจากไมโครซอฟท์ที่ให้ความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยได้ระบุว่า

การปรับสเปกพื้นที่ว่างขั้นต่ำสำหรับ Windows 10 v1903 นั้นจะมีผลกับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ (OEM) ที่ผลิตพีซีใหม่เท่านั้น และจะไม่กระทบกับอุปกรณ์เดิมแต่อย่างใด พีซีเครื่องใดที่มีพื้นที่ว่างไม่เพียงพอตามสเปกใหม่ จะยังได้รับอัพเดตใหม่รวมถึงอัพเดตเวอร์ชัน 1903 ต่อไป โดยจะใช้พื้นที่ว่างเท่ากันกับอัพเดตเวอร์ชันก่อนๆ

No Description

ดังนั้นผู้ใช้ Windows 10 ปัจจุบัน ที่มีพื้นที่ว่างเหลือเพียงพอตามสเปกเก่า (16GB สำหรับ Windows 32 บิท หรือ 20GB สำหรับ Windows 64 บิท) ก็จะยังได้รับอัพเดตต่อไป ไม่ต้องเคลียร์พื้นที่ฮาร์ดดิสก์เพิ่มเพื่อรับอัพเดต v1903